ผู้ติดตาม

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิทานคุณธรรม


ตาแช่ม เป็นคนที่..ไม่ชอบเข้าวัดฟังเทศน์ ฟังธรรมะ อะไรกับเขาหรอก
แต่ชอบสวดมนต์ภาวนา ขอพรพระเจ้า ที่ตนเอง เคารพนับถือ กราบไหว้
อยู่ในบ้าน ตาแช่มสวดมนต์ภาวนาขอพรพระเจ้าทุกวัน เพราะตาแช่มเชื่อว่า
พระเจ้าจะคอยดูแลปกป้องให้ความช่วยเหลือ ตาแช่มในยามทุกข์ยากเสมอ

อยู่มาวันหนึ่ง เกิดเหตุร้าย มีภัยธรรมชาติ น้ำกำลังจะท้วม บ้านเมืองเสียหาย
ชาวบ้านต่างพากันรีบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด มีแต่ตาแช่มเท่านั้นที่ไม่ยอมหนีไป
ตาแช่ม บอกกับชาวบ้านว่า..”ข้าไม่ไปหรอก ข้าสวดมนต์ขอพรพระเจ้าทุกวัน
ให้พระเจ้าคอยดูแลปกป้องคุ้มครองช่วยเหลือข้าเสมอ พระเจ้าน่ะมีอิทธิฤทธิ์ท่านต้องมาไม่ทิ้งข้าให้ลำบากอยู่แล้ว ข้าจะโง่หนีทำไม เดี๋ยวพระเจ้าก็มา..”

ชาวบ้านช่วยกันเตือนว่า..น้ำกำลังจะท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ ตาแช่มหนีเถอะ
แต่ตาแช่มก็ไม่สนใจ เอาแต่นั่งสวดมนต์ภาวนา ขอพรพระเจ้าของตนบนบ้าน
ต่อไปอย่างไม่ลดละ เพราะเชื่อว่าพระเจ้าที่ตนเองขอพรทุกวัน จะมาช่วยเหลือตนเอง ให้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวงได้ แต่.รอแล้วรอเล่าก็ไม่มา
ตาแช่ม จึงได้แต่บ่นพึมพำในใจตนเองว่า..“เอ้..ทำไมพระเจ้าไม่รีบมาช่วยเรา”
หรือว่า.. “พระเจ้าติดธุระกำลังช่วยคนอื่นอยู่ โธ่..พระเจ้า รีบมาช่วยตาทีเถอะ”
ตาแช่มก็ได้แต่นั่งสวดภาวนาขอพร ให้พระเจ้ามาช่วยเหลือตนเองอยู่อย่างนั้น
น้ำก็ท่วมสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ถึงชั้นสองของตัวบ้านแล้ว

ต่อมา..
อยู่ๆก็มี คนพายเรือลำหนึ่งมา เขาร้องตะโกนเรียกว่า “ตาแช่ม ลงเรือหนีเถอะ
น้ำกำลังท่วมสูงมากแล้ว อีกไม่นานคงท่วมถึงหลังคา รีบหนีกันเถอะตาแช่ม”
แต่ตาแช่ม ก็ยังไม่ยอมลงเรือ แถมยังขับไล่ ชายหนุ่มที่พายเรือมารับไปซะนี่
แล้วก็ตั้งใจสวดมนต์ขอพรพระเจ้าของตนเองบนบ้านต่อไป

ต่อมา..
น้ำก็ท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบถึงหลังคา ตาแช่มต้องปีนหลังคามานั่งสวดมนต์ภาวนาขอพรพระเจ้าให้มาช่วยเหลือตนเองอยู่บนหลังคา อยู่ๆก็มี เฮรีคอปเตอร์ลำหนึ่งบินมา มีคนทิ้งบันไดเชือก ลงมาจากเฮรีคอปเตอร์ แล้วร้องตะโกนบอกตาแช่มว่า“คุณตาขึ้นเครื่องเถอะ น้ำจะท่วมหมดบ้านแล้วเดี๋ยวจมน้ำตายนะตา”
แต่ตาแช่ม ก็ยังไม่ยอมขึ้นเครื่อง แถมยังตะโกนบอก คนบนเฮรีคอปเตอร์ ว่า..คุณไปเถอะ ตาไม่ไปหลอก เดี๋ยวพระเจ้าก็มาช่วยตาแล้ว ท่านกำลังทดลองใจของตาดู เท่านั้นเอง เมื่อคนบนเฮรีคอปเตอร์พยายามตะโกนพูดกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงต้องบินจากไป

ต่อมา..
น้ำสูงขึ้นเรื่อยๆจนน้ำท่วมหมดทั้งบ้าน ทำให้ ตาแช่มต้องจมน้ำตาย
พอตายแล้ว ยมบาลมารับตัวไปพิจารณาว่า ตาแช่มจะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แต่ท่านยมบาลยังไม่ทันได้พิจารณาคดี ก็ได้ยินเสียงตาแช่ม ด่าพระเจ้าต่างๆนาๆ ว่า.. พระเจ้าเลว อย่างนู้นอย่างนี่ ไม่ยอมมาช่วยเหลือตนเอง

เทวดาผู้มีหน้าที่รับใช้พระเจ้าอยู่บนสวรรค์ ได้ยินเข้า จึงรีบอาสาลงมาอธิบายให้ตาแช่มเข้าใจ แทนพระเจ้า พอมาถึง เทวดาจึงร้องตะโกนบอก ตาแช่ม ว่า “เจ้าคิดผิดแล้วละ พระเจ้าไม่ได้ใจจืดใจดำทอดทิ้งตาแช่มเลยนะ ตรงกันข้าม ความจริงแล้ว พระเจ้าได้ช่วยชีวิตตาแช่ม ตั้งแต่นาทีแรก ที่ตาแช่มสวดมนต์ขอพรแล้ว” ลองคิดดูดีๆซิ..ตาแช่ม

ครั้งแรก..
พระเจ้าใช้อิทธิฤทธิ์ ดลใจให้ชาวบ้าน มาบอกตาแช่มว่า น้ำท่วมให้รีบหนีไป แต่ตาแช่มก็ไม่ยอมไป ใช่ไหมละ

ครั้งที่สอง..
พระเจ้าใช้อิทธิ์ฤทธิ์ ดลใจให้ คนพายเรือ มาช่วยรับ ตาแช่ม ให้หนีไปด้วย
แต่ตาแช่มก็ไม่ยอมไปอีก ใช่ไหมละ

ครั้งที่สาม..
พระเจ้า กลัวตาแช่มจมน้ำตาย จึงใช้อิทธิ์ฤทธิ์ ดลใจให้ คนขับเฮรีคอปเตอร์
รีบมาช่วยรับ ตาแช่ม ให้หนีไปกับเขา แต่ตาแช่มก็ยังไม่ยอมไปอีกใช่ไหมละ

ตาแช่มคิดตาม เรื่องราวที่เทวดาพูด ก็ได้ฉุกคิด สำนึกในพระคุณของพระเจ้าได้แต่นั่งร้องไห้ เพราะสำนึกผิดที่ด่าว่าพระเจ้าต่างๆนาๆ

เทวดาจึงพูดอีกว่า..
เห็นหรือยังละ พระเจ้าช่วยตาแช่มไว้ถึง 3 ครั้งแล้ว แต่เพราะตัวตาแช่มเองต่างหากละ ที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเลย จึงต้องจมน้ำตาย
อย่างนี้

ยมบาลจึงพูดว่า เทวดาพูดถูกต้องแล้วละ ตาแช่มเอ๋ย จงอย่าโกรธพระเจ้าเลยคุณงาม ความดีที่ ตาแช่ม ได้สร้างบุญกุศล สวดมนต์ภาวนาไว้ กำลังจะช่วยให้ตาแช่มได้ขึ้นสวรรค์แล้วนะ แต่เพราะตาแช่มด่าว่าพระเจ้า เพราะความไม่รู้นี่ละจึงทำให้ตาแช่ม ต้องตกนรกก่อน เพื่อชดใช้กรรมเก่านี้ จึงจะได้ขึ้นสวรรค์

ตาแช่ม ก็พูดว่า ครับท่านยมบาล โปรดจงลงโทษข้า ตามเห็นสมควรเทอจ

เทวดาจึงรีบพูดว่า..
ท่านยมบาล ไม่ต้องลงโทษ ตาแช่ม ให้ตกนรกหรอก พระเจ้าได้ทรงบอกกับเราไว้ว่า ท่านไม่โกรธตาแช่มเลย เพราะตาแช่มพูดไปเพราะความไม่รู้เท่านั้นจึงอยากขอให้ท่านยมบาล ยกเว้นการลงโทษ ให้ตาแช่มได้ขึ้นสวรรค์เทอจ

ตาแช่มได้ฟังดังนั้น ก็ร้องไห้ก้มลงกราบเทวดาขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยเหลือตน
..จบ..

นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า.. “ผู้ฉลาด ย่อมรู้จักช่วยเหลือตนเองก่อนเสมอ”
เหมือนธรรมภาษิตว่า.. “อตฺตาหิ อตฺโนนาโถ คือ ตนแลเป็นที่พึงแห่งตน”

ขอความเจริญในธรรม จงบังเกิดมีแก่ท่านสาธุชนทั้งหลาย
ขอให้ท่านโชคดี มีความสุข ความเจริญ สมหวังในสิ่งดีงามทุกประการณ์เทอญ

ที่มา : http://www.dhammatoon.com

นิทานอีสป

ใครหนอ...สร้างนิทานอีสป
นิทานที่ได้รับความนิยมและเชื่อว่าเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกมากที่สุดรวมถึงในประเทศไทยด้วย คงหนีไม่พ้นนิทานอีสป ซึ่งนอกจากจะมีเรื่องราวสนุกสนานแล้วด้านหลังเล่มยังมีคติสอนใจจากเนื้อเรื่อง ด้วยคำว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
หลายคนนึกสงสัยว่า ใครหนอ ช่างคิดเรื่องราวที่สนุกและแฝงแง่คิดที่ใช้ได้ไม่ล้าสมัยน้า...
วันนี้มีคำตอบมาเฉลยให้หายสงสัย
"นิทานอีสป" มีต้นกำเนิดอยู่ที่อาณาจักรกรีกโบราณ ซึ่งเจ้าของเรื่องเล่าอันสุดแสนสนุกไม่ใช่นักปราชญ์แต่เป็นทาสที่ไร้การศึกษาแต่เปี่ยมไปด้วยเชาวน์ปัญญาต่างหาก!!!
และชื่อของเขาคือ อีสป ซึ่งเป็นที่มาของชื่อนิทานอีสปนั่นเอง
อีสปเป็นชายผิวสีชาวแอฟริกาที่มีชีวิตอยู่ในนครรัฐกรีกและต้องการทำมาหากินโดยการขายตัวเป็นทาส แต่โชคร้ายที่รูปร่างหน้าตาของเขาไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานที่พิจารณาคนที่มีความสามารถด้านการต่อสู้เป็นหลัก แต่พระเจ้ากลับประทานมันสมองอันเลอเลิศให้แก่อีสปเป็นการตอบแทน เขาจึงหันมาใช้สติปัญญาในการหาเลี้ยงชีพแทนการใช้กำลัง
สุดท้ายแล้วอีสปก็สามารถเอาชนะใจคนกรีกได้ ด้วยการเล่าเรื่องธรรมดาๆ แต่สอดแทรกด้วยปรัชญา แง่คิด และคติสอนใจต่างๆ ซึ่งเมื่อใครได้ฟังก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ อีกทั้งยังนำคติสอนใจที่ได้รับไปประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวเองได้ด้วย
ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรื่องราวจากอีสปก็คือ เขาจะใช้ตัวละครที่เป็นสิงสาราสัตว์ทั่วไป เช่น "หมาป่ากับลูกแกะ, สุนัขกับเงา, ราชสีห์กับหนู" หรือ "สุนัขจิ้งจอกกับกา" เป็นต้น
ความรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำราหรือในระบบการศึกษาเท่านั้น หากเรารู้จักค้นคว้าหาความรู้รอบตัวก็จะเป็นคนฉลาดแบบอีสปได้เหมือนกันนะ
ที่มา:http://www.fungdham.com/fable/fable.html
ที่มารูปภาพ:http://www.google.co.th/search?hl=th&q=%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%9B&um=1&ie=UTF-8&tbm=isch&source=og&sa=N&tab=wi